ระบบปิด

เดี๋ยวนี้ platform ระบบปิดเป็นที่นิยมกันมาก

– Twitter โตมากับระบบเปิด สมัยแรกๆ Twitter web ห่วยมาก คนจะเล่นทวิตให้ติดได้ก็ต้องหา client มานี่แหละ (ในเว็บมันไม่มี autorefresh แบบปัจจุบัน) แรกเริ่มเดิมที twitter เองก็สนับสนุนให้เอา api ไปทำบอตด้วย เช่นเราเคยมี @s บอตเลขาที่โดนสักบริษัทซื้อไปดองแล้ว แต่ปัจจุบัน Twitter เริ่มบอกว่า client ไม่จำเป็น เราจัดการของเราเอง คุณเข้ามาแล้วหลายคนทำผิดกฎให้ระบบมันเสีย *(แปล: หลายคนเข้ามาแล้วเราไม่รู้จะหารายได้ยังไงฉะนั้นคุณออกไปให้เราหาตังจากคนเล่นซะดีๆ)*
– Microsoft นี่ก็อีกรายนึง Windows เกิดมาได้ก็เพราะความเปิดของ IBM PC เราจะลง OS อะไรก็ได้ ทำให้ IBM PC ครองโลก และ Microsoft กำลังจะประกาศยึดครอง IBM PC ด้วย Windows 8 ที่จะล็อคไม่ให้ลงระบบอื่นๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว โดยอ้างเรื่องความปลอดภัย *(ทีตัวเองใช้ตรงนี้ลืมตาอ้าปากไม่เห็นมีใครบอกไม่ปลอดภัย..)*
– มือถือไม่เคยเป็นระบบเปิด เราแฟลชรอม 3310 เองไม่ได้ แต่ Android เกิดมากับคำว่าเปิด แต่คำว่าเปิดของ Android แปลว่าเปิดให้ผู้ผลิตมือถือปิดระบบยังไงก็ได้ สุดท้ายสำหรับคนใช้มือถือก็ยังปิด
– ครั้งหนึ่งเราเคยแชตกันบน protocol มาตรฐานอย่าง IRC แต่คนก็เริ่มมองว่าใครเกิดทัน IRC คนนั้นแก่ แล้วก็มาใช้ MSN จนมาถึง Facebook Chat, LINE group chat, BBM Group, ฯลฯ ปัจจุบันผมแบนพวกนี้ขาด (ยกเว้น Facebook Chat เพราะมันมี XMPP Gateway) ก็วันดีคืนดีมีคนคิดโปรแกรมแชตมันดังวุ้ย แล้วก็มี WhatsApp มี BBM อยู่ดีๆ มี LINE มาอีก ย้ายไปย้ายมา ไม่รู้จะไปทำไมในเมื่อมาตรฐานอย่าง XMPP มันก็เปิด และมีมานานแล้ว

หลายๆ คนที่ทำระบบปิดอ้างอยู่แค่ว่าระบบปิดสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับผู้ใช้ เช่นปลอดภัย ใช้งานง่าย เสถียร
แต่มันก็เหมือนปิดหูปิดตาผู้ใช้ ก็ในเมื่อคุณปิดหมดแล้วผู้ใช้เค้าคงไม่รู้หรอกว่าระบบเปิดน่ะจะปลอดภัยกว่าหรือเปล่า ใช้ง่ายกว่าหรือเปล่า เสถียรกว่าหรือเปล่า

ที่สุดแล้วมันก็คือ vendor lock-in ใส่กุญแจมือให้เราอยู่กับมันต่อไปเพราะเอาอะไรออกไปไม่ได้