หลังจากเป็นผู้แข่งขันมาหลายปี ปีนี้ทางโครงการเชิญมาตรวจ NSC รอบนักเรียน ก็เลยเริ่มเห็นอะไรหลายๆ อย่างที่ตอนเป็นนักเรียนไม่ได้สังเกต
Idea Inequality
ตั้งแต่สมัยเราแข่ง project ของโรงเรียนในกรุงเทพจะไม่ค่อยมีอะไรตื่นเต้นเท่าไรเมื่อเทียบกับต่างจังหวัด พอลองตรวจแล้วเลยสังเกตว่า ปัญหาที่นำมาทำโครงงานจะมีอยู่สองแบบคือ
- ปัญหาที่ใกล้ตัว (เจอมากับตัว หรือกับคนใกล้ชิด)
- ปัญหาที่ไกลตัว (เราคิดว่าคนกลุ่มนี้มีปัญหาแบบนี้ เราคิดว่า solution แบบนี้แก้ปัญหาให้เค้าได้)
เดาได้ไม่ยากว่าโครงงานที่ base มาจากปัญหาประเภทแรกมักจะทำออกมาดีกว่าประเภทที่สอง
ตัวอย่างเช่น โรงเรียนเราเคยคิดจะส่ง Smart Farm แต่ปัญหานี้สำหรับโรงเรียนในกรุงเทพเป็นปัญหาไกลตัวเพราะนักเรียนก็ไม่ได้ปลูกผักที่บ้าน (บ้านเล็กไม่มีที่) แต่สำหรับโรงเรียนต่างจังหวัด นักเรียนบางคนอาจจะมองเป็นปัญหาใกล้ตัวเพราะที่บ้านปลูกเห็ดขายอยู่แล้ว พอทำโครงงานออกมาแล้วเค้าสามารถเปรียบเทียบได้ว่าระหว่าง commercial farm กับโครงงานของเค้าว่าอะไรดีกว่ากัน
ที่โรงเรียนเอง คุณครูก็พยายามเชียร์ให้นักเรียนส่งโครงงานในหมวดนี้มานานแล้ว แต่ปีนี้ไม่มีคนส่งเลย ก็เดาได้ว่าเพราะสำหรับคนกรุงเทพแล้วมันไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไรใกล้ตัวที่เราจะแก้ไขได้
จะบอกว่าเป็นความเหลื่อมล้ำของปัญหาก็พอได้ แต่ความเหลื่อมล้ำนี้คนต่างจังหวัดกลับได้เปรียบกว่า เราคิดว่ามันอาจจะเกิดจากสภาพสังคมบางอย่าง เช่น ปีนี้โรงเรียนจากเชียงใหม่เลือกแก้ปัญหารถโรงเรียน เนื่องจากในเชียงใหม่ระบบรถโรงเรียนเป็นรถรับจ้างส่วนบุคคล ในขณะที่ในกรุงเทพนั้นโรงเรียนเป็นผู้ดำเนินการจัดหารถโรงเรียนก็เลยไม่มีปัญหานี้
พอสังเกตแล้วก็พบว่าตอนสมัยเราทำโครงงาน วิธีหาไอเดียที่ดีที่สุดคือเข้าไปอยู่กับชุมชนอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องระวังด้วยว่ากลุ่มเป้าหมายก็ควรจะมีขนาดประมาณหนึ่งที่จะทำให้รู้สึกว่าปัญหามันยิ่งใหญ่พอ
Economics Inequality
เรื่องที่สองที่อยากเล่าก็ใกล้ๆ กันคือความเหลื่อมล้ำของอุปกรณ์ เนื่องจากว่าเห็นน้องๆ ใช้เทคโนโลยีกันค่อนข้างย้อนยุคเล็กน้อย
ปีนี้เห็นว่าโรงเรียนรัฐในต่างจังหวัดใช้ ESP8266
ส่วนโรงเรียนเอกชนในกรุงเทพใช้ ESP32
จริงๆ สองตัวนี้ราคาไม่ค่อยต่างกันเท่าไรนัก (ตอนนี้ประมาณสัก 50-100 บาท) เวลาเลือกมาใช้เองก็ยังรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลที่จะใช้ ESP8266
เลยลองถามน้องดูว่าอุปกรณ์นี้ของใคร ของส่วนตัวหรือโรงเรียนซื้อ น้องโรงเรียนต่างจังหวัดบอกว่าของโรงเรียน ซื้อไว้ตั้งแต่สมัยรุ่นพี่…
โชคดีที่คะแนนส่วนมากของ NSC เกิดจากตัวปัญหาและวิธีแก้ไขมากกว่า เรื่องของอุปกรณ์ว่าถูกแพงจึงไม่ค่อยเป็นประเด็นเท่าไรนัก ใช้อุปกรณ์แพง มีจอ touch screen มานำเสนอ แต่แก้ปัญหาไม่ถูกจุดก็ไม่มีคะแนนเท่าไร
แล้ว open source software มัน democratize technology ไปเยอะมาก จะโรงเรียนแบบไหนจังหวัดใด ก็เห็นใช้ PHP กันเกือบทั้งหมด
ที่คิดว่าอาจจะเป็นปัญหาในอนาคตคือพวก cloud technology เช่นถ้ามีการเชื่อมต่อกับ image processing บน cloud แบบนี้คนที่เข้าถึง cloud ก็จะได้เปรียบกว่า แต่อาจจะไม่มาก เพราะเราไม่ให้คะแนนส่วนที่ไม่ได้เขียนเอง ต้อง provide value เพิ่มมากกว่าของที่มีอยู่พอสมควร
Ranking
พอเราแข่งมาหลายปี ได้รางวัลมาทั้ง 1-2-3 เราเข้าใจดีมากว่าหลังจากได้ที่ 1 เกิดอะไรขึ้น มันต่างยังไงกับที่ 2 โดยเฉพาะในหมวดนักเรียนรู้สึกว่ามันมีความสำคัญมาก ตรงนี้คนไม่เคยได้รางวัลที่ 1 ไม่มีทางรู้
เรื่องแรกคือรางวัลที่ 1 มันเท่ใน resume มากกว่าการได้ที่ 3 โดยไม่มีคนที่เก่งกว่าเรา มันชัดเจนว่าเราชนะ โดยไม่ต้องอธิบายว่าเราทำดีสุดแล้วแต่กรรมการไม่ให้เรา
เรื่องที่สองคือรางวัลถ้วยพระราชทาน ซึ่งรอบนิสิตมันยังเฉยๆ นะ (หรืออาจจะเพราะไม่เคยได้) แต่สำหรับรอบนักเรียนแล้วได้ครั้งหนึ่งโรงเรียนแทบจะจารึกไว้ตลอดกาล (ทุกวันนี้คิดว่าหน้าห้องคอมก็ยังมีรูปเราอยู่) เราเชื่อว่ามันมีประโยชน์ไม่ใช่แต่เฉพาะคนที่ทำโครงการแต่รวมไปถึงครูที่ปรึกษาและโรงเรียนด้วย
สุดท้ายมันเปิดทางไปต่อเยอะมาก งาน ICT Princess Award เลือกเชิญเฉพาะที่ 1 ให้ผ่านเข้ารอบ 2 เลย ถ้าไม่มีที่ 1 ก็ไม่มีใครได้ไปนอกจากจะเริ่มใหม่ตั้งแต่รอบแรก นอกจากนั้นบางมหาวิทยาลัยเองก็ offer โควต้าให้ถ้านักเรียนมีเกรดถึงและได้รับรางวัลชนะเลิศ
Benefit พวกนี้สำหรับรอบมหาวิทยาลัยยังอาจจะไม่ได้มีความสำคัญมาก แต่สำหรับนักเรียนมัธยมแล้วตอนนั้นยังรู้สึกว่าถ้าได้ตั้งแต่ม. 5 อาจจะมีประโยชน์มากยิ่งกว่าที่ได้ตอนม. 6
ปีนี้ในห้องกรรมการ กรรมการในหมวดทุกท่านก็ไม่เข้าใจตรงนี้ (เพราะมีเราคนเดียวที่เคยเป็นผู้แข่งขัน) กรรมการก็ลังเลกันอยู่ว่าจะให้ที่ 1 ดีไหมเพราะจาก Demo ที่เราได้ดูยังค่อนข้างคาบเส้น เจ้าหน้าที่แนะนำให้ถามเราก็เลยต้องเล่าให้เค้าฟังแบบข้างบนนี้ สุดท้ายแล้วทุกคนไม่มีปัญหาอะไรที่จะให้รางวัลที่ 1
Scoring
ตอนกำลังตัดที่ 1 ก็เลยเริ่มเข้าใจว่าทำไมงานเก่าเราบางอันได้ที่ 1 บางอันไม่ได้ จากกรรมการที่เคยตรวจมาแล้วหลายปี
ตอนที่เราได้รางวัลที่ 1 ตอนนั้นตัว product มันเสร็จแล้ว ใช้งานจริงอยู่แล้ว แล้วเราพูดตัวเลขได้ชัดเจนว่าเราใช้โปรแกรมออกหนังสือจริงไปแล้ว 2 เล่ม มีคนอ่านและกด like pages เรา 1,500 คน แบบนี้กรรมการก็ทำงานง่ายเลยเพราะ scope ผลงานไม่เล็กเท่าไรและมันมีผลลัพท์ชัดเจน
ในขณะที่ถ้า product มันทำมาส่งประกวด ไม่มีใครใช้ มันเสร็จก็จริงแต่มันทำได้อย่างเดียว แล้วชิ้นงานคือ GUI ง่ายๆ บน library แบบนี้ก็ไม่ค่อยมีคะแนนเท่าไรนัก ถ้านี่คือผลงานที่ดีที่สุดในหมวดนั้นแล้ว ก็คงจะไม่ให้รางวัลที่ 1