Kokoro Connect

ผมว่าจะเขียนบล็อค Kokoro connect

แต่ผมดันไปเจอ[บล็อค @pe3zx](http://pe3zx.blogspot.com/2012/10/kokoro-connect.html#more) แล้วเลยไม่ต้องเขียนแล้ว

*ทำหน้าอัพเลว*

edit: ต้นฉบับลบไปแล้วครับเพราะว่าย้ายบล็อค เพื่อกันหายผมขอคัดลอกมาเลยแล้วกันครับ

ไม่ได้เขียนบล็อกเกี่ยวกับอนิเมะนานแล้วถึงแม้ช่วงนี้ผมจะดูค่อนข้างเยอะกว่าเดิมมาก แต่ก็ไม่เคยเจอเรื่องที่ถูกใจพอให้เอามาเขียนบล็อก วันนี้เห็น @awkwin อัพ #menome เรื่อง Kokoro Connect พร้อมทั้งบอกว่าพล็อตเรื่องดีมาก ผมเลยเอามาดูซักหน่อย … ให้ 10/10 เลยครับ

##ทำไม?

รสนิยมด้านอนิเมะของผมค่อนข้างยืนพื้นอยู่บนความจริง ดังนั้นผมไม่ค่อยชอบอนิเมะแนวแฟนตาซีซักเท่าไหร่นัก (SAO ก็ไม่ค่อยชอบ) ส่วนมากจะชอบแนว Realistic มากกว่าซึ่งก็ตรงกับเนื้อเรื่องของ Kokoro Connect พอดี และมันก็นำเสนอเรื่องเหล่านี้ออกมาได้ดีมาก

Kokoro Connect เป็นเรื่องของกลุ่มนักเรียนธรรมดาห้าคน (ดูรูปด้านบน) ซึ่งอยู่ดีๆ ก็เกิดปรากฎการณ์แบบว่าสลับร่างภายในกลุ่มขึ้น ไอ้การสลับร่างนี้ก็คือการที่ตัวตนของคนนึงเข้าไปอยู่กับร่างกายของอีกคนนึง ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดจากอะไรสักอย่างเป็นผู้บงการ (ผมขอเรียกว่าเอเลี่ยน) เอเลี่ยนนี่เหมือนจะต้องการทดลองอะไรบางอย่างโดยอ้างว่านักเรียนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมที่น่าสนใจเมื่อสลับร่างกัน และเอเลี่ยนรู้สึกสนุกด้วย (?) ก็เลยเป็นเหตุให้สลับร่างกันไปมา

อ่านเนื้อเรื่องด้านบนแล้วอาจคิดว่ามันก็แฟนตาซีนี่นา แต่ปมของเรื่องไม่ใช่แฟนตาซีเลยครับ ถ้าเป็นอนิเมะธรรมดาอาจเอาไอ้เรื่องการสลับร่างมาทำให้เป็นเรื่องสนุก วุ่นวาย ปั่นป่วนกันแต่ KC ทำได้มากกว่าโดยผมจะขอแตกประเด็นที่น่าสนใจเอาไว้ดังนี้ครับ

1. อันดับแรก การสลับร่างกันนั้นทำให้เกิดการสลับระหว่างตัวตนกับร่างกายของแต่ล่ะคน จุดนี้เองที่เป็นการดึงปมด้อยของตัวละครแต่ละตัวออกมาหลังการสลับร่าง ว่าจริงๆ แล้วแต่ล่ะคนมีปมด้อย หรือปัญหาทางชีวิตอย่างไรออกมา การสลับร่างทำให้เพื่อนบางคนสามารถเข้าใจปฏิกิริยาต่อต้านของร่างกายต่อสิ่งที่ไม่ชอบได้ และนำไปสู่การแก้ปัญหาของสิ่งนั้น หรือการสลับร่างก็ทำให้เพื่อนบางคนได้เผยอีกด้านนึงของตัวตนที่เป็นปมด้อยออกมาและมาแก้ไข มันจึงเกิดเป็นการแชร์และเข้าใจปัญหาของแต่ละตัวครได้อย่างดีเยี่ยม
2. การสลับร่างสร้างมิตรภาพ จากข้อแรกในเรื่องปมด้อยและปัญหา แต่ละตัวละครมีปมด้อยไม่เหมือนกันและไม่สามารถจัดการด้วยตนเองได้ จุดนี้เองที่มิตรภาพและความเข้าใจเข้ามามีส่วนช่วยในการแก้ปัญหา ภาพที่เรามองเห็นผ่านคำว่าเพื่อนนั้นดูสวยงามเสมอ
3. ในตอนที่ 5 นั้น เอเลี่ยนได้บังคับให้เพื่อนคนนึงตกจากสะพานมา พร้อมทั้งบอกว่าเพื่อนคนที่ตกสะพานอาจจะไม่รอดชีวิต แต่เขามีเวลา 30 นาทีเพื่อให้หาตัวแทนมาสลับร่าง โดยจะสลับตัวตนของคนที่กำลังจะตายกับร่างกายของเพื่อนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อทำสิ่งที่ยังทำไม่สำเร็จ ฉากนี้เป็นฉากเรียกน้ำตาในเรื่องเลยจริงๆ (พระเอกกำลังสารภาพรักนางเอก ช่วงวินาทีที่นางเอกได้ยิน เอเลี่ยนก็บังคับให้ตกจากสะพาน) นางเอกได้มีโอกาสสลับร่างกับเพื่อนเพื่อมาบอกพระเอกว่าเธอก็รักเขาเหมือนกัน แต่ก็คงจะไม่มีวันเป็นไปได้ที่เราจะสามารถอยู่ด้วยกัน มีความสุขด้วยกันอย่างคู่รักได้ อีกทั้งนางเอกยังขอให้พระเอกรับคำสัญญาว่าจะไม่ลืมกันแม้จะตายจากกันไป….
ลองมองกลับมาดูชีวิตเราเอง ลองถามตัวเองว่าเราจะมีโอกาสไหมที่ก่อนเราจะตาย เราจะได้พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจเราออกมา ผมคิดว่าหลายคนรอบตัวมักมีอะไรหลายอย่างในใจซึ่งมากเกินกว่าที่เขาจะพูด บางทีอาจเป็นความลำบากใจ ทำให้เขาไม่สามารถพูดคำเหล่านั้นออกมาได้ แต่นั่นไม่สำคัญเลยหากจะเป็นคำสุดท้ายของชีวิต ผมเชื่อว่า ณ จุดนั้นไม่ว่าเราจะพยายามแลกด้วยอะไรก็ตามเพื่อสร้างเวลาช่วงที่มีค่าที่สุดขึ้นมาก็ไม่สามารถเป็นไปได้ ดังนั้นการมีชีวิตในปัจจุบันนับเป็นช่วงเวลาที่เรามีค่าที่สุด ไม่ใช่สิ… การมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันยังคงมีทางเลือกให้เราสามารถสร้างคุณค่าต่อตัวเอง และต่อคนที่เรารักได้ เราควรจะรีบทำสิ่งนั้นก่อนที่เราจะไม่มีโอกาสได้ทำมันจริงๆ

แม้ตอนเขียนบล็อกนี้จะได้ดูเพียง 5 ตอนจากทั้งหมด 13 ตอน แต่ผมก็ได้ประเมินให้คะแนน 10/10 บน #menome ไปแล้ว ก็ขอให้เรื่องนี้เป็นเรื่องแนะนำเรื่องหนึ่งสำหรับผู้ที่ชอบอนิเมะแนวหนักๆ ให้เก็บไปคิดต่อแบบนี้แล้วกันนะครับ 😀

ไว้ดูจบจะกลับมาเพิ่มเติมให้แล้วกันนะ

My AMV: What I thought

ผมทำ AMV เรื่องแรกก็เป็น เหม่อมองดูทางรถไฟ – 5 Centimeters per Second

ตอนที่ทำคือผมดู [5cm](http://menome.in.th/anime/5cm) จบแล้วแบบว่ามันรู้สึกว่า One More Time, One More Chance มันไม่ใช่สักเท่าไร มันต้องเพลงนึงที่ผมฟังคือ Ticket (night trip) ซึ่งเพลงมันจะบอกว่า “เมื่อมองดูทางรถไฟ ไม่มีใครไปแล้วกลับมา”

ถ้าสามจีเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เราเข้าใกล้กันมากขึ้น รถไฟคงเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เราไกลกันออกไป

ตอนนั้นผมมี Final Cut Pro X ในเครื่องอยู่พอดี แต่ยังไม่ได้ใช้ ซึ่งเขาก็รีวิวกันว่ามันคือ iMovie Pro ผมก็ไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่ก็ได้โอกาสเปิดซิงด้วย project ตัวนี้ ผมใช้ ffmpeg encode เอาอนิเมะที่มีซึ่งมันเป็นบลูเรย์ mkv เอนโค้ดใหม่ตัดเสียงออก แต่ผมใส่ argument ผิดหลายรอบ คือไม่ได้ใส่ bitrate ภาพมันเลยแตก แต่ก็ใส่ๆ ไป

ใช้ๆ ไปสักพัก เออว่ะ มัน iMovie Pro จริงๆ ด้วย

ผมทำ AMV เสร็จในบ่ายวันเดียว (ผมจำได้ว่าวันนั้นมีนัด ผมนั่งรอพ่อจะไปไหนสักอย่างจนเปิด AMV มาทำแล้วทำเสร็จตอนโดนเร่ง) ฉากที่ผมเลือกใส่ผมก็ฟังเพลงมันพูดอะไรก็หาฉากอย่างนั้นใส่เลยล่ะครับ แล้วก็ให้มันเรียงตามเวลาให้มากที่สุด ผมพยายามใส่บทที่สองเข้าไปแต่มันไม่ลง ในตัวเต็มก็เลยต้องตัดออกไป

สังเกตความไม่ HD นะครับ คือถ้าดู AMV อันใหม่ๆ จะเห็นเลยว่า 480p มันจะคม เพราะไฟล์ต้นฉบับผมมันคือ 720p/1080p แต่ไอ้นี่ต้นฉบับผมแค่ 240p ยังไม่ชัดเลย

วิธีที่ผมใช้หาข้อผิดพลาดของตัวเองใน AMV คือการดูมันซ้ำๆ ดูมันทุกวัน ดูหลายๆ รอบ (เห่อ) จนถึงจุดนึงมันจะแบบว่า เฮ้ย ไอ้นี่ติดบั๊ก ไม่เอาต้องทำใหม่

จนถึงจุดนึงมันจะเริ่มอยากทำตัวเต็ม ผมก็จัดการเอนโค้ดใหม่ คราวนี้ใส่ bitrate หนักๆ จนได้ full HD กริ๊บอย่างที่เห็นในตัวเต็มนั่นล่ะครับ

พออัพโหลดไปในทวิตก็ดูกันอยู่สักพักนึง แต่ผ่านไปช่วงหลังนี้ผมพบว่า AMV ตัวนี้ยังเป็นที่นิยมมาก ทั้งๆ ที่อันต่อๆ มา ผมพยายามมากกว่าไอ้นี่ และผิดพลาดน้อยกว่ามากแต่กลับไม่ดังเท่าไอ้นี่อีกแล้ว

มีคนบอกผมว่าเพราะอันนี้ผมเลือกเพลงเป๊ะจริงๆ

จุดนึงที่เห็นได้ชัดมากคือเฟรมเขียวท้าย AMV ผมเคยเขียนบล็อคไปแล้ว มันเป็นบั๊ก Final Cut สำหรับเครื่องมีการ์ดจอหลายใบ คำแนะนำของ Apple คือ ให้ซื้อคอมใหม่ หลังจากนั้นผมเลิกใช้ Final Cut อีกเลย

เรื่องตลกของ AMV นี้คือหลายคนนึกว่าเพลงชื่อเหม่อมองดูทางรถไฟ จริงๆ มันคือชื่อที่ผมตั้งให้กับ AMV แต่เพลงมันชื่อ Ticket (Night Trip) ตอนหลังผมไปรู้มาว่ามีคนทำ Ticket (Day Trip) ด้วย ซึ่งผมเองไม่ค่อยคิดว่า Day Trip เข้ากับหนัง แต่ก็เป็นเพลงทีดีเพลงนึง

ตอนหลังไฟล์ต้นฉบับผมหายไปแล้ว คือผมมี 1080p แต่ไม่แน่ใจว่ามันเป็นแบบ recode ลงไอแพดหรือเปล่าเพราะดูดกลับมาจากไอแพด แล้วก็ไฟล์ Final Cut หายไปแล้ว

## หวานขม

หวานขมมันกลับมาที่อารมณ์เดิมนั่นล่ะครับ ผมดู [Hotarubi no Mori e](http://menome.in.th/anime/hotarubinomorie) แล้วมันนึกขึ้นได้ว่าเพลงจบมันต้องเพลงหวานขมนี่เลย

ผมจำไม่ได้ว่าทำไมดูอนิเมะ คือ ไปเจอโดยบังเอิญใน Bakadetsu ว่าเป็นมูฟวี่ และอนิเมะมูฟวี่ไม่ค่อยมีให้ดูสักเท่าไร เลยเอามาดู โชคดีมากที่ค่ายมาเมะซับทำซอฟต์ซับ ส่วนเพลงมันเกิดจากที่ผมชอบเพลงช่วงที่ดีที่สุด ซึ่งวิทยุชอบเปิด ผมไปหาใน YouTube และไล่ฟังอัลบั้มนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงชื่ออัลบั้ม “หวานขม”

“หวานขม คิดถึงทีไรสุขทั้งน้ำตา จากนี้เหลือเพียงอดีตของกาลเวลา ที่จะไม่ย้อนคืนมาอีกแล้ว”

ตัวนี้ผมใช้ Premiere Pro CS5 ทำ ทำได้ไหลลื่นไม่มีปัญหามาก

ตอนหลังผมก็ใช้วิธีเดิมล่ะครับ ดูซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งคิดออกว่าต้องทำอะไร แล้วมันก็จะกลายเป็น AMV ตัวเต็มเอง

อันนี้เป็นอีกอันที่พอมีคนเอาไปบ้าง อาจจะเอาไปเพราะแถมจากห้าเซ็นของผม หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผมรู้สึกว่าไอ้นี่ที่ตั้งใจทำมันดันไม่ดังซะอีก คงเป็นเพราะเลือกทั้งเพลงที่ไม่ดัง (August Band นี่แฟนคลับเยอะนะครับ ถึง Ticket อาจจะเป็นเพลงๆ นึงที่บางคนไม่รู้จัก ไม่รู้ว่ามันมีสองเวอร์ชั่นบวกโบนัส แต่อัลบั้มหวานขมคนรู้จักกันแต่รักคุณเข้าอีกแล้ว กับช่วงที่ดีที่สุด) แถมยังเลือกอนิเมะอะไรไม่รู้ออกมาอีก

แต่ก็ได้ subscriber มาพอสมควรล่ะครับ ผมก็ไม่คิดว่าเค้าอยากดู AMV กันจากแชนเนลที่มันมีแต่กิจกรรมโรงเรียน แต่ในเมื่อเค้าอยากดู ก็ต้องทำสักหน่อย

## แม้จะผ่านไปเท่าไร

ผมตัดสินใจทำ AMV ชิ้นที่สามด้วยความคิดแค่ว่าอยากขอบคุณ subscriber และผมรู้สึกว่าช่วงวันแม่เนี่ย เพลง “สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน” ในอัลบั้มหวานขมอีกนั่นล่ะ มันเป็นเพลงวันแม่ที่ไม่มีใครเปิดฟัง ทั้งๆ ที่มันเป็นเพลงดีมาก คือ ไม่ได้ฟังดูแล้วโบราณ ฟังดูเด็ก เพลงมันเป็นผู้ใหญ่มากๆ ก็เลยอยากจุดกระแสบ้าง

ตัวนี้ผมใช้ Premiere Pro CS6 ครับ มันใช้การ์ดจอเรนเดอร์ Preview ได้และมันเร็วมาก ตอนแรกผมกะจะใช้ arc ของนางิสะ “ความฝันของลูกน่ะคือความฝันของพ่อแม่ เราไม่ได้ทิ้งความฝันของเรา แต่เราเปลี่ยนมันให้เป็นความฝันเดียวกับเธอ” แต่ลองนึกเล่นๆ ว่าอยากทำ Clannad ทั้ง 4 arc แล้วเลยนึกได้ว่าโคโตมิเหมาะกว่ามาก

Arc โคโตมิเป็นอะไรที่ยากครับ คือ ผมควรจะเล่า AMV ตามลำดับเวลา แต่ในเรื่องเรื่องในอดีตเป็นแค่ครึ่งตอนนึงเท่านั้นซึ่งผมต้องเอามาตัดต่อให้มันเรียงกันใหม่ตามเวลาได้ ผลที่ได้คือ AMV มันตัดข้ามเวลาไปไวมากหลังจากวัยเด็กแล้วก็กลับมาเปิดกล่องเลย

ตอนแรกผมวางแผนจะใช้เสียงพากย์ประกอบด้วย แต่พากย์ญี่ปุ่นใส่ไปก็คงไม่เข้าใจ ใส่พากย์ไทยเดี๋ยวจะมีคนด่า ก็เลยซับเอาเองแล้วกัน ซึ่ง Premiere Pro ซับยากมากครับ ต้อง create และใส่ทีละอันเหมือนใส่ Title Text ปกติ (มันมีวิธีง่ายกว่านี้ แต่ผมไม่มี plugin)

มีบางคนบอกว่า ดู AMV อันก่อนๆ ผมแล้วร้องไห้ ผมก็ไม่แน่ใจว่าตรงไหนน่าร้องไห้ ผมพบว่า AMV ตัวนี้ล่ะทำผมร้องไห้มากที่สุดตั้งแต่ดูอนิเมะมาแล้ว ผมนั่งลูปฉากเปิดจดหมายไม่ต่ำกว่าห้ารอบและคำพูดฉากนั้น ดูผ่านๆ มันก็งั้นๆ แต่ดูดีๆ แล้วมันกินใจทั้งนั้น

AMV ตัวนี้ผมปล่อยก่อนสิงหาฯ แต่ก็เลยวันแม่ไปกว่าจะได้ปล่อยตัวเต็ม กระแสก็ซาซะแล้ว คือผมกะว่าช่วงวันแม่หยุดยาวผมจะนั่งทำให้เสร็จแล้วปล่อย แต่แน่นอนวันแม่คุณแม่ก็จะพาไปเยี่ยมยาย ไปกินข้าวกับแม่ ฯลฯ ซึ่งมันก็เป็นทุกปีสำหรับผมแล้วล่ะครับที่ช่วงวันแม่จะโกรธแม่สักเรื่อง ของปีนี้ก็เลยเป็นเรื่องที่ทำให้ผมปล่อย AMV ไม่ทันนี่ล่ะ

AMV ตัวนี้ “เฟล” สนิทครับ ไม่มีใครเอาไปโปรโหมทอะไรตามกระแสที่ผมคาดสักนิด (สงสัยผมจะ overhyped จาก AMV ตัวแรกๆ ไปหน่อย ไว้อันหลังๆ จะปล่อยเงียบๆ ไม่หวังอะไรละ) แม้ผมจะมองว่า Clannad น่าจะมีคนดูก็เถอะ แต่ใครล่ะครับจะมานั่งฟังเพลงวันแม่กัน มันเป็นเรื่องที่คนไม่ชอบให้ต้องเอามาพูดกัน

## The World of OZ

AMV ผมล่าสุดมันก็มาจาก​ [SAO](http://menome.in.th/anime/swordart) arc แรกครับ มันมาจากคำนึงของคิริโตะที่ว่า “ก็เราอยู่ใน Aincrad นี่”

ถ้าเราใช้ชีวิตอยู่ในที่นึงเป็นปีๆ จะเรียกมันว่าบ้านก็คงไม่แปลกหรอกครับ ถึงมันจะเป็น virtual world หรืออะไรก็เถอะ

ผมฟังเพลง Wizard of OZ จากที่หาเพลง Clazziquai ฟัง (ผมรู้จักมาจาก Clazziquai) แล้วเห็นว่าเฮ้ยมันทำเพลงให้ Summer Wars ด้วย ถ้าผมหาข้อมูลไม่ผิดมันจะเป็น Summer Wars เวอร์ชั่นเกาหลี แต่ผมฟังแล้วผมรู้สึกเลยว่าคำว่า “We live in OZ” เนี่ย มันคือไอน์ครัดไม่มีขาดไม่มีเกิน เพราะ OZ มันแค่อีกตัวตนนึงของเรา แต่ไอน์ครัดเราใช้ชีวิตอยู่กับมันจริงๆ

ผมรู้สึกฟินมากกับการใส่ฉากต่อสู้ลงไป แน่ล่ะครับ อนิเมะต่อสู้นี่นา ก็ยัดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจบที่สู้กับบอสชั้นแรกผมเริ่มคิดไม่ออกแล้วว่าจะต่อเรื่องยังไงดี อยู่ดีๆ คิดออกว่าน่าจะเอาบอสอื่นต่อ ผมบังเอิญหาจุดต่อได้พอดี ก็ได้บอสที่สองต่อ และจากบอสสองมันลง “One more try, give it one more try” ที่ผมนึกถึงบอสชั้นใต้ดินซึ่งก็ตัดข้ามกันไปได้อย่างสวยงาม

ปัญหามันบังเกิดหลังจากนั้นล่ะครับ เพราะเพลงจะจบแล้วและบอสระเบิดเป็นผงไปแล้ว มันไม่มีอะไรให้ผมต่อได้แล้ว

หลังจากนั้นมันก็เลยมั่วครับ ผมใส่มั่วตามใจไปเลย แต่ฉากจบผม fix ไว้แล้วว่าต้องเป็นอันนี้ มันเลยกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ ตัดจบซะงั้น

แผนที่คิดของตัวเต็มคือฉากต่อสู้จะลดลงมาก เพลงมันคือ “We live in OZ” มันควรจะเป็นเรื่องของชีวิตใน Aincrad มากกว่า

ผมมีแผนอีกอันที่ไม่รู้จะทำหรือเปล่าคือทำ dual AMV ไปเลย อาจจะออกอีกตัวคือ The World of OZ เวอร์ชั่นอังกฤษ ซึ่งอันนี้น่าจะกลับมาเป็นโหมดแอคชั่นเหมือนเดิม เพราะมันใช้ว่า “We move, we dance” ขณะที่ท่อนเดียวกันเวอร์ชั่นเกาหลีใช้ว่า “We live, we dream”